บันทึกการเรียนการสอน ครั้งที่2
-อาจารย์สอนเนื้อหาเรื่อง เด็กพิเศษ เนื้อหามีดังนี้
เด็กพิเศษ คือ เด็กที่ไม่มีพัฒนาการไม่เป็นไปตามวัย
-ความหมายเด็กพิเศษทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า เด็กพิการ เด็กที่ผิดปกติ บกพร่อง เสื่อมเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
-ความหมายอีกความหมายคือ ทางการศึกษา ได้กล่าวไว้ว่า เด็กทีจำเป็นที่ต้องได้รับการศึกษา เฉพาะของตนเอง(ยึดรายบุคคล)
สรุปความหมายเด็กพิเศษมีดังนี้
-เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาความสามารถได้ไม่เท่าเด็กปกติ
-เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา และอารมณ์
-เด็กพิเศษจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัด และฟื้นฟู
-การที่จัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับลักษณะ และความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
ประเภทของเด็กพิเศษ แบ่งออกเป็น 2กลุ่ม
1.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสุง คือ มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เด็กปัญญาเป็นเลิศ
2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง กระทรวงศึกษาแบ่งออกเป็น9ประเภท แต่ในเนื้อหามี10ประเภท
-เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
-เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
-เด็กบกพร่องทางการเห็น
-เด็กบกพร่องทางร่างกายสุขภาพ(สมองพิการ)
-เด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ (เรียนรู้ช้า)
-เด็กบกพร่องทางการพูดภาษา (พูดช้า)
-เด็กมีปัญหาพฤติกรรมหรือ อารมณ์
-เด็กมีอาการออทิสติก
-เด็กพิการซ้ำซ้อน
-เด็กมีความสามารถพิเศษ (อาจารย์เพิ่มมาให้)
2.1 เด็กบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities) ระดับสติปัญญาที่ต่ำกว่าเด็กปกติ มี2กลุ่ม คือ
1.เด็กเรียนช้า คือ
-สามารถเรียนในชั้นเรียนได้
-การเรียนรู้ช้า
-ขาดทักษะการเรียนรู้
-มีความบกพร่องทางสติปัญญา เพียงเล็กน้อย
-ระดับสติปัญญา (IQ)มีประมาณ 71-90
สาเหตุเรียนช้า
ปัจจัยภายนอก
-เศรษฐกิจของครอบครัว
-สร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
-สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
-การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
-วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
ปัจจัยภายใน
-พัฒนาการช้า
-การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
-เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
-เด็กที่แสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ำ
-เด็กมีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
-เด็กมีความจำกัดทางด้านทักษะ
-เด็กมีพัฒนาการทางกายล่าช้า ไม่เหมาะสมกับวัย
-เด็กสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
เด็กปัญญาอ่อน แบ่งเป็น 4กลุ่ม
1.ขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆได้เลย
2.ขนาด IQ 20-34 ไม่สามารถเรียนรู้ได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดช่วยเหลือตัวเอง ในกิจวัตรประจำวัน
3.IQ 35-49 ฝึกการอบรมและเรียนเบื้องต้นง่ายๆได้ ฝึกได้โดยไม่ต้องละเอียดละออมาก T.M.R.(Trainable Mentally Retarded)
4.IQ 50-47 เรียนในระดับประถมได้ สามารถฝึกอาชีพได้ง่าย E.M.R. (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา ทักษะหลัก คือ ทักษะทางภาษา
-ไม่พูด หรือพูดได้ ไม่สมวัย
-ความสนใจสั้น วอกแวก
-ความคิดเปลี่ยนแปลงง่าย
-ทำงานช้า
-รุนแรงไม่มีสาเหตุ
-อวัยวะบางส่วน มีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
-ช่วยตนเองน้อยกว่า เด็กในวัยเดียวกัน
2.2 เด็กบกพร่องทางการได้ยิน ( Children with Hearing Impaired) คือ เด็กสูญเสียทางการได้ยินมี 2ประเภท คือ หูหนวก หูตึง
เด็กหูตึง คือ สูญเสียการได้ยิน ใช้อุปกรณ์การช่วยฟังได้ จำแนก 4กลุ่ม ย่อย
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ระหว่าง 26-40 DB มีปัญหารับฟังเบาๆ เช่นเสียงกระซิบ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง 41-55 DB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟัง ระยะห่าง 3-5 ฟุต เด็กจะไม่ได้ยิน
- จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาหารพูดเล็กน้อย พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือ เสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงมาก 56-70 DB
- เด็กมีปัญหารับฟังเข้าใจคำพุด
-เด็กพูดเสียงดังก็ยังไม่ได้ยิน
-เด็กมีปัญหาการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
-พัฒนาการด้านการพูดช้า พูดไม่ชัด
-เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง 71-90 DB
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียง และ การเข้าใจคำพูดอย่างมาก
-ได้ยินเฉพาะดังใกล้หู 1ฟุต
-การพูดคุยต้องตระโกน หรือ ให้เครื่องขยายเสียง
-เด็กมักพูดไม่ชัด และมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
-สูญเสียการได้ยิน
-เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
-ไม่เข้าใจภาษาพูด
-ระดับได้ยิน ตั้งแต่ 91 DB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี
-ไม่พูด แสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
-พูดด้วยเสียงแปลกๆมักเปล่งเสียงสูง
-พูดด้วยเสียงต่ำ หรือดังเกินกว่าจำเป็น
-เวลาฟังมักจจะมองปากผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
-ไวต่อการสั่นสะเทือน การเคลื่อนไหวรอบตัว
-มักจะทำหน้าเด๋อ เมื่อมีการพูดด้วย
3.เด็กบกพร่องทางการเห็น ( Children with Visual Impairments)
-เด็กที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง
-บกพร่องสายตา 2ข้าง
-สามารถมองได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตา กว้างไม่เกิน 30 องศา
เด็กบกพร่องทางสายตา สามารถ แบ่ง2ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอกไม่สนิท
เด็กตาบอด
-ไม่สามารถมองเห็น
-ใช้ประสาทสัมผัสในการเรียรู้
-มีตาข้างดี มองเห็นได้ในระยะ6/60 ,20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
-ลานสายตาเฉลี่ย อย่างสูงสุด แคบสุด 50 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
-เด็กบกพร่องทางสายตา
-มองเห็นได้ข้างเดียว ไม่เท่ากับเด็กปกติ
-เมื่อทดสอบสายตาข้างดี ระดับ 6/18.20/60,6/60, 20/200 น้อยกว่านั้น
-ลานสายตาสุดกว้างไม่เกิน 30องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการมองเห็น
-เดินงุ่มง่าม ชน และสะดุดวัตถุ
-มักบ่นว่าปวดศรีษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
-ก้มศรีษะชิดกับงาน
-เพ่งตา หรี่ตา
-ตาและมือ ไม่สัมพันธ์กัน
-มีความลำบากในการจำ และแยกแยะรูปทรงเรขาคณิตไม่ได้
-เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
-เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
-เด็กบกพร่องทางการเห็น
-เด็กบกพร่องทางร่างกายสุขภาพ(สมองพิการ)
-เด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ (เรียนรู้ช้า)
-เด็กบกพร่องทางการพูดภาษา (พูดช้า)
-เด็กมีปัญหาพฤติกรรมหรือ อารมณ์
-เด็กมีอาการออทิสติก
-เด็กพิการซ้ำซ้อน
-เด็กมีความสามารถพิเศษ (อาจารย์เพิ่มมาให้)
2.1 เด็กบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities) ระดับสติปัญญาที่ต่ำกว่าเด็กปกติ มี2กลุ่ม คือ
1.เด็กเรียนช้า คือ
-สามารถเรียนในชั้นเรียนได้
-การเรียนรู้ช้า
-ขาดทักษะการเรียนรู้
-มีความบกพร่องทางสติปัญญา เพียงเล็กน้อย
-ระดับสติปัญญา (IQ)มีประมาณ 71-90
สาเหตุเรียนช้า
ปัจจัยภายนอก
-เศรษฐกิจของครอบครัว
-สร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
-สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
-การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
-วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
ปัจจัยภายใน
-พัฒนาการช้า
-การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
-เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
-เด็กที่แสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ำ
-เด็กมีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
-เด็กมีความจำกัดทางด้านทักษะ
-เด็กมีพัฒนาการทางกายล่าช้า ไม่เหมาะสมกับวัย
-เด็กสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
เด็กปัญญาอ่อน แบ่งเป็น 4กลุ่ม
1.ขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆได้เลย
2.ขนาด IQ 20-34 ไม่สามารถเรียนรู้ได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดช่วยเหลือตัวเอง ในกิจวัตรประจำวัน
3.IQ 35-49 ฝึกการอบรมและเรียนเบื้องต้นง่ายๆได้ ฝึกได้โดยไม่ต้องละเอียดละออมาก T.M.R.(Trainable Mentally Retarded)
4.IQ 50-47 เรียนในระดับประถมได้ สามารถฝึกอาชีพได้ง่าย E.M.R. (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา ทักษะหลัก คือ ทักษะทางภาษา
-ไม่พูด หรือพูดได้ ไม่สมวัย
-ความสนใจสั้น วอกแวก
-ความคิดเปลี่ยนแปลงง่าย
-ทำงานช้า
-รุนแรงไม่มีสาเหตุ
-อวัยวะบางส่วน มีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
-ช่วยตนเองน้อยกว่า เด็กในวัยเดียวกัน
2.2 เด็กบกพร่องทางการได้ยิน ( Children with Hearing Impaired) คือ เด็กสูญเสียทางการได้ยินมี 2ประเภท คือ หูหนวก หูตึง
เด็กหูตึง คือ สูญเสียการได้ยิน ใช้อุปกรณ์การช่วยฟังได้ จำแนก 4กลุ่ม ย่อย
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ระหว่าง 26-40 DB มีปัญหารับฟังเบาๆ เช่นเสียงกระซิบ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง 41-55 DB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟัง ระยะห่าง 3-5 ฟุต เด็กจะไม่ได้ยิน
- จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาหารพูดเล็กน้อย พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือ เสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงมาก 56-70 DB
- เด็กมีปัญหารับฟังเข้าใจคำพุด
-เด็กพูดเสียงดังก็ยังไม่ได้ยิน
-เด็กมีปัญหาการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
-พัฒนาการด้านการพูดช้า พูดไม่ชัด
-เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง 71-90 DB
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียง และ การเข้าใจคำพูดอย่างมาก
-ได้ยินเฉพาะดังใกล้หู 1ฟุต
-การพูดคุยต้องตระโกน หรือ ให้เครื่องขยายเสียง
-เด็กมักพูดไม่ชัด และมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
-สูญเสียการได้ยิน
-เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
-ไม่เข้าใจภาษาพูด
-ระดับได้ยิน ตั้งแต่ 91 DB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี
-ไม่พูด แสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
-พูดด้วยเสียงแปลกๆมักเปล่งเสียงสูง
-พูดด้วยเสียงต่ำ หรือดังเกินกว่าจำเป็น
-เวลาฟังมักจจะมองปากผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
-ไวต่อการสั่นสะเทือน การเคลื่อนไหวรอบตัว
-มักจะทำหน้าเด๋อ เมื่อมีการพูดด้วย
3.เด็กบกพร่องทางการเห็น ( Children with Visual Impairments)
-เด็กที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง
-บกพร่องสายตา 2ข้าง
-สามารถมองได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตา กว้างไม่เกิน 30 องศา
เด็กบกพร่องทางสายตา สามารถ แบ่ง2ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอกไม่สนิท
เด็กตาบอด
-ไม่สามารถมองเห็น
-ใช้ประสาทสัมผัสในการเรียรู้
-มีตาข้างดี มองเห็นได้ในระยะ6/60 ,20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
-ลานสายตาเฉลี่ย อย่างสูงสุด แคบสุด 50 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
-เด็กบกพร่องทางสายตา
-มองเห็นได้ข้างเดียว ไม่เท่ากับเด็กปกติ
-เมื่อทดสอบสายตาข้างดี ระดับ 6/18.20/60,6/60, 20/200 น้อยกว่านั้น
-ลานสายตาสุดกว้างไม่เกิน 30องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการมองเห็น
-เดินงุ่มง่าม ชน และสะดุดวัตถุ
-มักบ่นว่าปวดศรีษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
-ก้มศรีษะชิดกับงาน
-เพ่งตา หรี่ตา
-ตาและมือ ไม่สัมพันธ์กัน
-มีความลำบากในการจำ และแยกแยะรูปทรงเรขาคณิตไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น