วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


บันทึกการเรียนการสอนครั้งที่ 4


วันนี้อาจารย์สอนต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว เรื่อง เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม และ อารมณ์(Children with Behavioral and Emotional Disorders)
-เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆไม่ได้
-เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
-ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเรียบร้อย

เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม และอารมณ์ สามารถ แบ่งออกเป็น 2ประเภท ดังนี้ คือ
-เด็กที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์
-เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้

เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ มักมีพฤติกรรมที่เห็นได้ชัด  คือ 
-วิตกกังวล
-หนีสังคม
-ก้าวร้าว

การจะจัดว่าเด็กมีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ ดังนี้
-สภาพแวดล้อม
-ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล

ผลกระทบ
-ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
-รักษาความสัมพันธ์ กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
-มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
-มีความคับข้องใจ และมีความเก็บกด อารมณ์
-แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศรีษะ ปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย
-มีความหวาดกลัว

เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
-เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
-เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม (Autisum)

เด็กสมาธิสั้น(Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
-เรียกโดยย่อๆว่า ADHD
-เด็กที่ซนอยู่ไม่นิ่ง ซนมากผิดปกติ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา 
-เด็กบางคนมีปัญหา เรื่องสมาชิกบกพร่อง อาการหุนหันพลันแล่น ขาดความยังยั้งชั่งใจ เด็กเหล่านี้ทางการแพทย์ เรียกว่า Attention Deficit Disorders (ADD)

ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม และ อารมณ์
-อุจจาระ ปัสสาวะ รดเสื้อผ้า หรือที่นอน
-ติดขวดนม หรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
-ดูดนิ้ว กัดเล็บ
-หงอยเหงา เศี้าซึม การหนีสังคม
-เรียกร้องความสนใจ
-อารมณ์หวั่นไหวง่าย ต่อสิ่งเร้า
-อิจฉา ริษยา ก้าวร้าว
-ฝันกลางวัน
-พูดเพ้อเจ้อ

7.เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้( Children with Learning Disabilities)
-เรียกย่อๆว่า L.D. (Learning Disability)
-เด็กที่มีปัญหา ทางการเรียนรู้เฉพาอย่าง
-เด็กมีปัญหาทางการใช้ภาษา หรือการพูด การเขียน 
-ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจาก ความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย

ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
-มีปัญหาในทักษะคณิตศาสตร์
-ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้
-เล่าเรื่อง/ลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
-มีปัญหาด้านการ อ่าน เขียน
-ซุ่มซ่าม
-รับลูกบอลไม่ได้
-ติดกระดุมไม่ได้
-เอาแต่ใจตนเอง

8.เด็กออทิสติก (Autistic)
-หรือ ออทิซึ่ม(Autism)
-เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อความหมายพฤติกรรม สังคม และความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้
-เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
-ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต

เด็กออทิสติก จะมีลักษณะในแต่ละด้านดังนี้  จากภาพ

ลักษณะของเด็กออทิสติก
-อยู่ในโลกของตนเอง
-ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ความปลอบใจ
-ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
-ไม่ยอมพูด
-เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ
-ยึดติดวัตถุ
-ต่อต้าน หรือแสดงกิริยาอารมณ์อย่างรุนแรง และไร้เหตุผล
-มีทีท่าเหมือนคนหูหนวก
-ใช้วิธีการสัมผัส และเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการที่ต่างจากคนทั่วไป

9.เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Handicaps) 
อาการของเด็กประเภทนี้
-เด็กมีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
-เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
-เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
-เด็กที่ทั้งหูหนวก และ ตาบอด

-อาจารย์ให้ดูวีดีโอ เรืองห้องเรียนแรกของเด็กพิเศษพร้อมทั้งทำแผนผังความคิดโดยสรุป ส่งในคาบ


วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


บันทึกการเรียนการสอนครั้งที่ 3



    วันนี้อาจารย์ได้สอน 2 เรื่อง  คือ เรื่อง เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ และ เรื่องเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด และ ภาษา

1.เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ (lChildren with Physical and Health  Impairments) มีดังนี้ คือ
1.1 เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
1.2อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
1.3มีปัญหาทางระบบประสาท
1.4มีความลำบากในการเคลื่อนไหว

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ  สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท  
1.1อาการบกพร่องทางร่างกายคือ
- เด็กซีพี (Cerebral Palsy) มีลักษณะ คือ อัมพาต สมองพิการ หรือ สมองที่กำลังถูกพัฒนาก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
- การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพีมีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างๆของสมองแตกต่างกัน 

อาการของโรค
- อัมพาตเกร็งแขนขา หรือ ครึ่งซีก (Spastic)
-อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Atnetoid)
-อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia)
-อัมพาตตึงแข็ง (Regid)
-อัมพาตแบบผสม (Mixed)

กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy)
-เกิดจากเส้นประสาทสมองควบคุมกล้ามเนื้อ ส่วนนั้นๆ เสื่อมสลายตัว
-เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้  นอนอยู่กับที่ 
-จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม

โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ  (Orthopedic)

คือ ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อน เนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
-ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่นวัณโรค กระดูก  หลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนองเศษกระดูกผุ
-กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ

โปลิโอ (Polimyelitis)

มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
-ยืนไม่ได้หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสร

ความบกพร่องทางสุภาพ
โรคลมชัก (Epilepsy)
เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องจากความผิดปกติของระบบสมอง มีดังนี้
-ลมบ้าหมู (Grand Mal) เมื่อเกิดอาการชัก จะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึก ในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
-การชักในช่วงเวลาสั้นๆ(Petit Mal)
มีอาการ ชักชั่วระยะสั้นๆ5-10 วินาที  เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงัก ในท่าก่อนชัก เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
-การชักแบบรุนแรง ( Grand Mal) เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราวๆ 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และ นอนหลับไปชั่วครู่

-อาการชักแบบ (Partial Complex) เกิดอาการเป็นระยะๆ กัดริมฝีปาก ไม่รู้สึกตัว ถูตามแขนขา เดินไปมา บางคนอาจจะเกิดความโกรธ หรือโมโห หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องนอนพัก
-อาการแบบไม่รู้ตัว (Focal Partial) เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง  ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
-มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
-ท่าเดินคล้ายกรรไกร
-เดินขากะเผลก หรือ อึดอาดเชื่องช้า
-ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
-มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
-หน้าแดงง่าย  มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปาก หรือ ปลายนิ้ว 
-หกล้มบ่อยๆ
-หิวและกระหายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ




2.เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด และภาษา (Children with Speech and Language Disorders) เด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูด ไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น  การใช้อวัยวะเพื่อการพูด ไม่เป็นไปดังตั้งใจ มีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด

2.1ความผิดปกติด้านการออกเสียง
-ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม 
-เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคำโดยไม่จำเป็น
-เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง เช่น กวาด  เป็นฟาด
2.2ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด เช่น การพูดรัว การพูดติดอ่าง
2.3ความผิดปกติด้านเสียง มีดังนี้
-ระดับเสียง 
-ความดัง
-คุณภาพของเสียง
2.4 ความผิดปกติทางการพูด และภาษาอันเนื่องมาจาก พยาธิ สภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า (Dysphasia หรือ aphasia) มีดังนี้
2.4.1 Motor aphasia 
- เด็กที่เข้าใจคำถาม หรือคำสั่ง แต่พูดไม่ได้ ออกเสียงลำบาก 
-พูดช้าๆพอพูดตามได้บ้างเล็กน้อย บอกชื่อสิ่งของพอได้
-พูดไม่ถูกไวยากรณ์
2.4.2 Wernicke 's apasia 
-เด็กที่ไม่เข้าใจคำถาม หรือคำสั่งได้ยินแต่ไม่เข้าใจ ความหมาย
-ออกเสียงไม่ติดขัด แต่มักใช้คำผิดๆ หรือใช้คำอื่นซึ่งไม่มีความหมายมาแทน
2.4.3 Conduction aphasia 
-เด็กที่ออกเสียงได้ไม่ติดขัด เข้าใจคำถามดี แต่พูดตาม หรือ บอกชื่อสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมไปกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา
2.4.4 Nominal aphasia 
-เด็กที่ออกเสียงได้ เข้าใจคำถามดี พูดตามได้ แต่บอกชื่อวัตุไม่ได้เพราะลืมชื่อ บางทีก็ไม่เข้าใจความหมายของคำ มักเกิด ร่วมไปกับ Gerstmann's syndrome
2.4.5 Global aphasia 
-เด็กที่ไม่เข้าใจทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน 
-พูดไม่ได้เลย
2.4.6 Sensory agraphia 
-เด็กที่เขียนเองไม่ได้ เขียนตอบคำถาม หรือ เขียนชื่อวัตถุ ก็ ไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstmann's syndrome
2.4.7 Motor agraphia 
-เด็กที่ลอกตัวเขียน หรือ ตัวพิมพ์ ไม่ได้
-เขียนตามคำบอกไมได้
2.4.8 Cortical alexia 
-เด็กที่อ่านไม่ออก เพราะไม่เข้าใจภาษา
2.4.9 Motor alexia
-เด็กที่เห็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ เข้าใจความหมาย แต่อ่านออกเสียงไม่ได้
2.4.10 Gerstmann's syndrome
-ไม่รู้ชื่อนิ้ว (Finger agnosia)
-ไม่รู้ชี้ซ้ายขวา (Allochiria)
-คำนวณไม่ได้ (Acalculia)
-เขียนไม่ได้ (Agraphia)
-อ่านไม่ออก(Alexia)
2.4.11 Visual agnosia 
-เด็กที่มองเห็นวัตถุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บางทีบอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้
2.4.12 Auditory agnosia
- เด็กที่ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยิน แต่แปลความหมายของคำ หรืือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
-ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆ และอ่อนแรง
-ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10เดือน
-ไม่พูดภายในอายุ 2ขวบ
-หลัง 3 ขวบ แล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
-ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
-หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถาศึกษา
-มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
-ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


บันทึกการเรียนการสอน ครั้งที่2



-อาจารย์สอนเนื้อหาเรื่อง เด็กพิเศษ  เนื้อหามีดังนี้

เด็กพิเศษ คือ เด็กที่ไม่มีพัฒนาการไม่เป็นไปตามวัย
-ความหมายเด็กพิเศษทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า เด็กพิการ เด็กที่ผิดปกติ บกพร่อง เสื่อมเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ 
-ความหมายอีกความหมายคือ ทางการศึกษา ได้กล่าวไว้ว่า เด็กทีจำเป็นที่ต้องได้รับการศึกษา เฉพาะของตนเอง(ยึดรายบุคคล)

สรุปความหมายเด็กพิเศษมีดังนี้

-เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาความสามารถได้ไม่เท่าเด็กปกติ
-เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา และอารมณ์
-เด็กพิเศษจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัด และฟื้นฟู
-การที่จัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับลักษณะ และความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล

ประเภทของเด็กพิเศษ แบ่งออกเป็น 2กลุ่ม
1.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสุง คือ มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เด็กปัญญาเป็นเลิศ
2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง กระทรวงศึกษาแบ่งออกเป็น9ประเภท  แต่ในเนื้อหามี10ประเภท
-เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
-เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
-เด็กบกพร่องทางการเห็น
-เด็กบกพร่องทางร่างกายสุขภาพ(สมองพิการ)
-เด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ (เรียนรู้ช้า)
-เด็กบกพร่องทางการพูดภาษา (พูดช้า)
-เด็กมีปัญหาพฤติกรรมหรือ อารมณ์
-เด็กมีอาการออทิสติก 
-เด็กพิการซ้ำซ้อน
-เด็กมีความสามารถพิเศษ (อาจารย์เพิ่มมาให้)

2.1 เด็กบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities) ระดับสติปัญญาที่ต่ำกว่าเด็กปกติ มี2กลุ่ม คือ 

1.เด็กเรียนช้า คือ 
-สามารถเรียนในชั้นเรียนได้ 
-การเรียนรู้ช้า
-ขาดทักษะการเรียนรู้
-มีความบกพร่องทางสติปัญญา เพียงเล็กน้อย
-ระดับสติปัญญา (IQ)มีประมาณ 71-90
สาเหตุเรียนช้า
ปัจจัยภายนอก 
-เศรษฐกิจของครอบครัว
-สร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
-สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
-การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
-วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
ปัจจัยภายใน
-พัฒนาการช้า
-การเจ็บป่วย

เด็กปัญญาอ่อน
-เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
-เด็กที่แสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ำ
-เด็กมีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
-เด็กมีความจำกัดทางด้านทักษะ
-เด็กมีพัฒนาการทางกายล่าช้า ไม่เหมาะสมกับวัย 
-เด็กสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม

เด็กปัญญาอ่อน แบ่งเป็น 4กลุ่ม
1.ขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20  ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆได้เลย
2.ขนาด IQ 20-34 ไม่สามารถเรียนรู้ได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดช่วยเหลือตัวเอง ในกิจวัตรประจำวัน 
3.IQ 35-49 ฝึกการอบรมและเรียนเบื้องต้นง่ายๆได้ ฝึกได้โดยไม่ต้องละเอียดละออมาก T.M.R.(Trainable Mentally Retarded)
4.IQ 50-47 เรียนในระดับประถมได้ สามารถฝึกอาชีพได้ง่าย E.M.R. (Educable Mentally Retarded)

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา ทักษะหลัก คือ ทักษะทางภาษา
-ไม่พูด หรือพูดได้ ไม่สมวัย
-ความสนใจสั้น วอกแวก
-ความคิดเปลี่ยนแปลงง่าย
-ทำงานช้า
-รุนแรงไม่มีสาเหตุ
-อวัยวะบางส่วน มีรูปร่างผิดปกติ  กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
-ช่วยตนเองน้อยกว่า เด็กในวัยเดียวกัน

2.2 เด็กบกพร่องทางการได้ยิน ( Children with Hearing Impaired) คือ เด็กสูญเสียทางการได้ยินมี 2ประเภท คือ  หูหนวก  หูตึง

เด็กหูตึง คือ สูญเสียการได้ยิน ใช้อุปกรณ์การช่วยฟังได้ จำแนก 4กลุ่ม ย่อย
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ระหว่าง 26-40 DB มีปัญหารับฟังเบาๆ เช่นเสียงกระซิบ

2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง 41-55 DB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟัง ระยะห่าง 3-5 ฟุต เด็กจะไม่ได้ยิน 
- จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาหารพูดเล็กน้อย พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือ เสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงมาก 56-70 DB
- เด็กมีปัญหารับฟังเข้าใจคำพุด
-เด็กพูดเสียงดังก็ยังไม่ได้ยิน
-เด็กมีปัญหาการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
-พัฒนาการด้านการพูดช้า พูดไม่ชัด 
-เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง 71-90 DB
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียง และ การเข้าใจคำพูดอย่างมาก
-ได้ยินเฉพาะดังใกล้หู 1ฟุต
-การพูดคุยต้องตระโกน หรือ ให้เครื่องขยายเสียง
-เด็กมักพูดไม่ชัด และมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด

เด็กหูหนวก 
-สูญเสียการได้ยิน
-เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
-ไม่เข้าใจภาษาพูด
-ระดับได้ยิน ตั้งแต่ 91 DB ขึ้นไป

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี
-ไม่พูด แสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
-พูดด้วยเสียงแปลกๆมักเปล่งเสียงสูง
-พูดด้วยเสียงต่ำ หรือดังเกินกว่าจำเป็น
-เวลาฟังมักจจะมองปากผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
-ไวต่อการสั่นสะเทือน การเคลื่อนไหวรอบตัว
-มักจะทำหน้าเด๋อ เมื่อมีการพูดด้วย

3.เด็กบกพร่องทางการเห็น ( Children with Visual Impairments)
-เด็กที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง
-บกพร่องสายตา 2ข้าง
-สามารถมองได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตา กว้างไม่เกิน 30 องศา

เด็กบกพร่องทางสายตา สามารถ แบ่ง2ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอกไม่สนิท

เด็กตาบอด 
-ไม่สามารถมองเห็น
-ใช้ประสาทสัมผัสในการเรียรู้
-มีตาข้างดี มองเห็นได้ในระยะ6/60 ,20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
-ลานสายตาเฉลี่ย อย่างสูงสุด แคบสุด 50 องศา

เด็กตาบอดไม่สนิท
-เด็กบกพร่องทางสายตา
-มองเห็นได้ข้างเดียว ไม่เท่ากับเด็กปกติ
-เมื่อทดสอบสายตาข้างดี ระดับ 6/18.20/60,6/60, 20/200 น้อยกว่านั้น
-ลานสายตาสุดกว้างไม่เกิน 30องศา

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการมองเห็น
-เดินงุ่มง่าม ชน และสะดุดวัตถุ
-มักบ่นว่าปวดศรีษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
-ก้มศรีษะชิดกับงาน
-เพ่งตา หรี่ตา
-ตาและมือ ไม่สัมพันธ์กัน
-มีความลำบากในการจำ และแยกแยะรูปทรงเรขาคณิตไม่ได้

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกการเรียนการสอนครั้งที่1




-อาจารย์ได้มอบหมายงานให้นักศึกษากลับไปสร้างBlogger ของแต่ละคน 


-อาจารย์แจกกระดาษ ให้ทำMind Map เกี่ยวกับเรื่อง เด็กพิเศษ คืออะไร




-อาจารย์ได้แจกกระดาษปั๊มเวลามาเรียน